ความสำคัญของภาษาคอมพิวเตอร์
ความสําคัญของภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ (Computer Language) เป็นสัญลักษณ์ที่ผู้พัฒนาภาษากําหนดรหัสคําสั่ง ขึ้นมา ใช้ควบคุมการทํางานอุปกรณ์ในระบบคอมพิวเตอร์ พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์ เริ่มจากรหัส คําสั่งอยู่ในรูปแบบเลขฐานสอง จากนั้นพัฒนารูปแบบเป็นข้อความภาษาอังกฤษ ในยุคปัจจุบัน ภาษาคอมพิวเตอร์มีอีกมากมายหลายภาษาให้เลือกใช้งาน มีจุดเด่นด้านประสิทธิภาพคําสั่งแตกตางกันไป ดังนั้นผู้สร้างงานโปรแกรมต้องศึกษาว่าภาษาใดมีคําสั่งที่มีประสิทธิภาพควบคุมการทํางานตามต้องการ เพื่อเลือกไปใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งานตามที่ได้กําหนดจุดประสงค์ไว้
1. พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาควบคู่กับการประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นคําสั่ง ควบคุมการทํางาน มีพัฒนาการของการสร้างรหัสคําสั่งจนมาเป็นรูปแบบในปัจจุบัน ดังนี้
ช่วงที่ 1 คอมพิวเตอร์จัดเป็นเครื่องมือคํานวณทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงทํางานลักษณะวงจรเปิด – ปิด แทนค่าด้วย 0 กับ 1 ผู้สร้างภาษาจึงออกแบบรหัสคําสั่งเป็นชุดเลขฐานสอง เรียกว่า ภาษาเครื่อง (Machine Language) ผู้ที่จะเขียนรหัสคําสั่งควบคุมระบบได้จึงจํากัดอยู่เฉพาะกลุ่ม และใช้ในห้องปฏิบัติการทดลองดําเนินงาน
ช่วงที่ 2 จากช่วงแรกที่รหัสคําสั่งเป็นชุดเลขฐานสองมีความยุ่งยากในการจําชุดของรหัสคําสั่ง ควบคุมการทํางาน จึงมีผู้พัฒนารหัสคําสั่งเป็นอักษรภาษาอังกฤษรวมกับเลขฐานอื่น เช่น เลขฐานสิบหก เพื่อให้เขียนคําสั่งควบคุมงานง่ายขึ้น ตั้งชื่อภาษาว่า แอสแซมบลีหรือภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) พร้อมกันนี้ต้องพัฒนาโปรแกรมแปลภาษาขึ้นมาด้วย (Translator Program) คือโปรแกรมแอสแซมเบลอร์ (Assembler) ใช้แปลรหัสคําสั่งกลับมาเป็นเลขฐานสอง เพื่อให้ระบบ สามารถประมวลผลได้
ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่บริษัทหลายแห่งสร้างภาษาคอมพิวเตอร์หลากหลายภาษา เน้นให้ใช้งานง่ายขึ้น โดยรหัสคําสั่งเป็นข้อความใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสื่อสารกันอยู่แล้ว จัดให้เป็นกลุ่ม ภาษาระดับสูง (High Level Language) เช่น ภาษาเบสิก ภาษาปาสค่าล ภาษาซี ในส่วนของ โปรแกรมแปลภาษามี 2 ลักษณะ คือ อินเทอรพรีตเทอร์ และคอมไพเลอร์
ช่วงที่ 4 เน้นเพิ่มประสิทธิภาพภาษาคอมพิวเตอร์ให้นําไปใช้ควบคุมการทํางานระบบ คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานรวมกับเทคโนโลยีการสื่อสาร ภาษามีรูปแบบการเขียนรหัสคําสั่งเป็นงานโปรแกรม เชิงวัตถุ (Object – Oriented Programming Language : OOP) ติดต่อใช้งานกับผู้ใช้โปรแกรมเชิง กราฟฟิก (Graphic User Interface : GUI) ลดขั้นตอนการจดจําเพื่อพิมพ์รหัสคําสั่งมาเป็นการคลิก เลือกรายการคําสั่ง และป้อนค่าควบคุม เช่น ภาษาวิชวลเบสิก (Visual BASIC) ภาษาจาว่า (JAVA)
2. ภาษาระดับสูง ภาษาคอมพิวเตอร์กลุ่มภาษาระดับสูงได้รับความนิยมใช้งานจนถึงปัจจุบัน เพราะเป็นภาษาที่มี รูปแบบการเขียนรหัสคําสั่งสั้น สื่อความหมายตรงกับการทํางาน ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้เพื่อเขียน ชุดรหัสคําสั่งควบคุมการทํางาน ใช้หน่วยความจําระบบน้อย จึงเหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะการสร้างงาน โปรแกรมประยุกต์งานคํานวณในสาขางานต่าง ๆ เช่น ระบบงานคํานวณทางวิศวกรรมโยธา ระบบงาน คํานวณทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างภาษาระดับสูงที่ได้รับความนิยมใช้งาน มีดังนี้
1) ภาษาเบสิก (BASIC : Beginner’s All-purpose Symbolic Instruction Code) เป็นภาษาในระยะเริ่มแรกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในห้องปฏิบัติการของสถาบันการศึกษา เพื่อฝึกทักษะการ เขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานของคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก คือ ไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ รูปแบบที่ใช้งานสั้น มีจํานวนคําสั่งไม่มาก กฎเกณฑ์การใช้คําสั่งน้อย ใช้ระยะเวลาศึกษาเรียนรู้สั้น เหมาะสมที่จะใช่ในการเรียนการสอน เพื่อฝึกทักษะการเขียนรหัสควบคุมการ ทํางานระบบ ข้อจํากัด คือ ประสิทธิภาพของคําสั่งงานมีน้อย เป็นภาษาที่ไม่มีรูปแบบโครงสร้าง จึงไม่เหมาะสมในการนําไปใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งานในองค์กร
2) ภาษาโคบอล (COBOL : Common Business Oriented Language) เป็นภาษาในยุคแรกที่มีลักษณะโปรแกรมเชิงโครงสร้าง ช่วงต้นของภาษาได้รับการออกแบบรหัสคําสั่งเพื่อ ควบคุมการทํางานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ประเภท เมนเฟรม และมินิ ต่อมาจึงปรับรูปแบบคําสั่งให้ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์ได้ข้อดี คือ ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการเขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางาน ไมโครคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะไปเขียนรหัสคําสั่งควบคุมคอมพิวเตอร์ขนาดให้ญืในการทํางานจริง ข้อจํากัด คือ โครงสร้างภาษามีส่วนประกอบของบรรทัดคําสั่งงานมาก รูปแบบรหัส คําสั่งมีความยาว จดจําคําสั่งได้ยาก ไม่เหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะสร้างงานโปรแกรม
3) ภาษาปาสคาล (PASCAL) เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง ได้รับการออกแบบ มาเพื่อใช้เขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ แต่ละส่วนของโครงสร้างกําหนดหน้าที่การเขียนรหัสคําสั่งควบคุมงาน ชัดเจน คําสั่งสั้น สื่อความหมายดี จึงจดจําได้งาย ประสิทธิภาพคําสั่งงานมีเลือกใช้งานหลากหลาย รูปแบบ ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ เหมาะสมกับการนําไปใช้ในหลักสูตรการเรียนการสอน ข้อจํากัด คือ ประสิทธิภาพของคําสั่งไม่สามารถใช้ควบคุมการทํางานในลักษณะ ระบบงานแบบฐานข้อมูล หรือแบบเครือขายได้ แต่อาจใช้พื้นฐานความรู้สําหรับภาษาอื่นได้ เช่น ภาษา เดลไฟ (DELPHI) ที่คําสั่งงานคลายภาษาปาสค่าล
4) ภาษาซี เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง เน้นให้คําสั่งมีประสิทธิภาพการคํานวณที่ รวดเร็ว เข้าถึงอุปกรณ์ในระบบรวมกับภาษาแอสแซมบลีได้ ใช้ควบคุมการทํางานไมโครคอมพิวเตอร์
ข้อดี คือ ภาษาได้รับการพัฒนามาอย่างตอเนื่อง การออกแบบรหัสคําสั่งมีมาตรฐาน รวมกัน ถึงแม้จะเป็นภาษาซีตางบริษัทก็ใช้งานส่วนคําสั่งพื้นฐานรวมกันได้ ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ จึงเหมาะสมสําหรับนําไปใช้ในหลักสูตรการเรียนการสอน และนําไปใช้สร้างงานโปรแกรมระบบขนาด ใหญ่ได้ ข้อจํากัด คือ อยู่ในส่วนของรุนภาษาซีมากกว่า เช่น เทอรโบซีจะไม่สามารถนําไป สร้างระบบงานฐานข้อมูลได้ แต่หากต้องการนําไปสร้างงานโปรแกรมแบบฐานข้อมูล ต้องใช้วิชวล ซีพลัสพลัส (Visual C++) เป็นต้น
3. ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator Program) การเขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานระบบด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ใด ๆ ก็ตาม ที่มิใช้ ภาษาเครื่อง ระบบไม่สามารถประมวลผลได้ทันที เพราะการทํางานของระบบเป็นรหัสเลขฐานสอง คือ 0 กับ 1 ดังนั้นผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ ต้องสร้างโปรแกรมสําหรับแปลรหัสคําสั่งให้เป็นรหัส เลขฐานสองด้วย โปรแกรมแปลรหัสคําสั่งภาษาคอมพิวเตอร์มีการทํางาน 3 ลักษณะ คือ
1.)โปรแกรมแปลภาษาแบบแอสแซมเบลอร (Assembler) ใช้แปลรหัสคําสั่งเฉพาะภาษา แอสแซมบลีให้เป็นเลขฐานสอง
2.) โปรแกรมแปลภาษาแบบคอมไพเลอร์ (Compiler) ลักษณะการแปลคือ แปลคําสั่งทั้ง โครงสร้างโปรแกรม แล้วจึงแจงข้อผิดพลาดทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข จากนั้นต้องประมวลผลให้ หากไม่มี ข้อผิดพลาดจะสร้างแฟ้มโปรแกรมให้อัตโนมัติเพื่อเก็บรหัสเครื่องภายหลังเมื่อเรียกใช้โปรแกรมนี้ เครื่อง จะอ่านรหัสจากโปรแกรมที่สร้างไว้นั้น จึงไม่ต้องเริ่มแปลรหัสให้ ข้อดี คือ ทํางานได้รวดเร็ว เพราะไม่ต้องแปลรหัสให้ทุกครั้ง ข้อจํากัด คือ ต้องเขียนโปรแกรมให้ครบทุกส่วนของโครงสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ จึง จะสามารถคอมไพลปละประมวลผลเพื่อแสดงผลได้
3.) โปรแกรมแปลภาษาแบบอินเทอรพรีตเทอร์ (Interpreter) ลักษณะการแปล คือ แปลรหัสทีละคําสั่ง เมื่อพบข้อผิดพรากจะหยุดทํางาน แล้วจึงแจงข้อผิดพลาดให้ทราบ เพื่อแก้ไข จากนั้นประมวลผลให้ จนกว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด แต่ไม่มีการสร้างแฟ้มโปรแกรมให้เพื่อเก็บรหัสคําสั่ง คือ สั่งให้ประมวลผลรหัสคําสั่งเพื่อดูผลการทํางานได้ทันทีที่ต้องการ โดยไม่ ข้อดี ต้องเขียนโปรแกรมถึงบรรทัดสุดทาย ข้อจํากัด คือ หากโปรแกรมมีบรรทัดคําสั่งจํานวนมากจะประมวลผลชา เพราะต้องเริ่ม แปลรหัสคําสั่งให้ที่บรรทัดคําสั่งแรกทุกครั้งที่สั่งให้ประมวลผล
4.) การเลือกใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ การสร้างโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ มีข้อแนะนําในการนําไปใช้เป็นแนวทางพิจารณา เลือกภาษาคอมพิวเตอร์ ดังนี้
1. พิจารณาจุดเด่นประสิทธิภาพของคําสั่งงานของแต่ละภาษา เปรียบเทียบกับลักษณะงาน เช่น สร้างโปรแกรมระบบงานคํานวณทางวิศวกรรมศาสตร์ อาจเลือกใช้ภาษาซี ภาษา ปาสคาล
2. พิจารณาลักษณะการประมวลผล เช่น ระบบงานต้องประมวลผลบนเครือข่ายอาจ เลือกใช้ภาษาวิชวลเบสิก ในรุ่นของโปรแกรมที่มีคําสั่งควบคุมการทํางานได้
3. พิจารณาคุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์และรุนของระบบปฏิบัติการที่ใช้ควบคุม เพื่อเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานรวมกันกับระบบได้
4. ควรเลือกภาษาที่ทีมงานพัฒนาระบบงานโปรแกรมมีความชํานาญอยู่แล้ว เพื่อไม่ต้อง เสียเวลาเริ่มต้นศึกษาเรียนรู้ภาษาให้ หรือหากเป็นภาษาให้ ควรเป็นภาษาที่มี ลักษณะใกล้เคียงกับความรู้เดิม
5. ควรเป็นภาษาที่มีลักษณะเป็นโครงสร้าง มีความยืดหยุ่นสูง เอื้ออํานวยความสะดวกใน การปรับปรุงพัฒนาระบบงานในอนาคต
6. หากระบบงานต้องการความปลอดภัยเรื่องการเข้าถึงข้อมูล ต้องคัดเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเรื่องนี้ด้วย
7. พิจารณางบประมาณ ใช้จัดหาคอมพิวเตอร์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องมาใช้งาน เพื่อป้องกัน ปัญหาทางกฎหมายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะไม่ก่อปัญหาเมื่อขยายพัฒนาระบบงานเพิ่ม มากขึ้นในอนาคต
8. เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมใช้งานทั่วไปเพื่อศึกษารวบรวมข้อมูล และ ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต และมีความเชื่อมั่นว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญให้ คําปรึกษาหากเกิดปัญหาขึ้น
ความสําคัญของภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ (Computer Language) เป็นสัญลักษณ์ที่ผู้พัฒนาภาษากําหนดรหัสคําสั่ง ขึ้นมา ใช้ควบคุมการทํางานอุปกรณ์ในระบบคอมพิวเตอร์ พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์ เริ่มจากรหัส คําสั่งอยู่ในรูปแบบเลขฐานสอง จากนั้นพัฒนารูปแบบเป็นข้อความภาษาอังกฤษ ในยุคปัจจุบัน ภาษาคอมพิวเตอร์มีอีกมากมายหลายภาษาให้เลือกใช้งาน มีจุดเด่นด้านประสิทธิภาพคําสั่งแตกตางกันไป ดังนั้นผู้สร้างงานโปรแกรมต้องศึกษาว่าภาษาใดมีคําสั่งที่มีประสิทธิภาพควบคุมการทํางานตามต้องการ เพื่อเลือกไปใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งานตามที่ได้กําหนดจุดประสงค์ไว้
1. พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาควบคู่กับการประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นคําสั่ง ควบคุมการทํางาน มีพัฒนาการของการสร้างรหัสคําสั่งจนมาเป็นรูปแบบในปัจจุบัน ดังนี้
ช่วงที่ 1 คอมพิวเตอร์จัดเป็นเครื่องมือคํานวณทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงทํางานลักษณะวงจรเปิด – ปิด แทนค่าด้วย 0 กับ 1 ผู้สร้างภาษาจึงออกแบบรหัสคําสั่งเป็นชุดเลขฐานสอง เรียกว่า ภาษาเครื่อง (Machine Language) ผู้ที่จะเขียนรหัสคําสั่งควบคุมระบบได้จึงจํากัดอยู่เฉพาะกลุ่ม และใช้ในห้องปฏิบัติการทดลองดําเนินงาน
ช่วงที่ 2 จากช่วงแรกที่รหัสคําสั่งเป็นชุดเลขฐานสองมีความยุ่งยากในการจําชุดของรหัสคําสั่ง ควบคุมการทํางาน จึงมีผู้พัฒนารหัสคําสั่งเป็นอักษรภาษาอังกฤษรวมกับเลขฐานอื่น เช่น เลขฐานสิบหก เพื่อให้เขียนคําสั่งควบคุมงานง่ายขึ้น ตั้งชื่อภาษาว่า แอสแซมบลีหรือภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) พร้อมกันนี้ต้องพัฒนาโปรแกรมแปลภาษาขึ้นมาด้วย (Translator Program) คือโปรแกรมแอสแซมเบลอร์ (Assembler) ใช้แปลรหัสคําสั่งกลับมาเป็นเลขฐานสอง เพื่อให้ระบบ สามารถประมวลผลได้
ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่บริษัทหลายแห่งสร้างภาษาคอมพิวเตอร์หลากหลายภาษา เน้นให้ใช้งานง่ายขึ้น โดยรหัสคําสั่งเป็นข้อความใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสื่อสารกันอยู่แล้ว จัดให้เป็นกลุ่ม ภาษาระดับสูง (High Level Language) เช่น ภาษาเบสิก ภาษาปาสค่าล ภาษาซี ในส่วนของ โปรแกรมแปลภาษามี 2 ลักษณะ คือ อินเทอรพรีตเทอร์ และคอมไพเลอร์
ช่วงที่ 4 เน้นเพิ่มประสิทธิภาพภาษาคอมพิวเตอร์ให้นําไปใช้ควบคุมการทํางานระบบ คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานรวมกับเทคโนโลยีการสื่อสาร ภาษามีรูปแบบการเขียนรหัสคําสั่งเป็นงานโปรแกรม เชิงวัตถุ (Object – Oriented Programming Language : OOP) ติดต่อใช้งานกับผู้ใช้โปรแกรมเชิง กราฟฟิก (Graphic User Interface : GUI) ลดขั้นตอนการจดจําเพื่อพิมพ์รหัสคําสั่งมาเป็นการคลิก เลือกรายการคําสั่ง และป้อนค่าควบคุม เช่น ภาษาวิชวลเบสิก (Visual BASIC) ภาษาจาว่า (JAVA)
2. ภาษาระดับสูง ภาษาคอมพิวเตอร์กลุ่มภาษาระดับสูงได้รับความนิยมใช้งานจนถึงปัจจุบัน เพราะเป็นภาษาที่มี รูปแบบการเขียนรหัสคําสั่งสั้น สื่อความหมายตรงกับการทํางาน ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้เพื่อเขียน ชุดรหัสคําสั่งควบคุมการทํางาน ใช้หน่วยความจําระบบน้อย จึงเหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะการสร้างงาน โปรแกรมประยุกต์งานคํานวณในสาขางานต่าง ๆ เช่น ระบบงานคํานวณทางวิศวกรรมโยธา ระบบงาน คํานวณทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างภาษาระดับสูงที่ได้รับความนิยมใช้งาน มีดังนี้
1) ภาษาเบสิก (BASIC : Beginner’s All-purpose Symbolic Instruction Code) เป็นภาษาในระยะเริ่มแรกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในห้องปฏิบัติการของสถาบันการศึกษา เพื่อฝึกทักษะการ เขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานของคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก คือ ไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ รูปแบบที่ใช้งานสั้น มีจํานวนคําสั่งไม่มาก กฎเกณฑ์การใช้คําสั่งน้อย ใช้ระยะเวลาศึกษาเรียนรู้สั้น เหมาะสมที่จะใช่ในการเรียนการสอน เพื่อฝึกทักษะการเขียนรหัสควบคุมการ ทํางานระบบ ข้อจํากัด คือ ประสิทธิภาพของคําสั่งงานมีน้อย เป็นภาษาที่ไม่มีรูปแบบโครงสร้าง จึงไม่เหมาะสมในการนําไปใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งานในองค์กร
2) ภาษาโคบอล (COBOL : Common Business Oriented Language) เป็นภาษาในยุคแรกที่มีลักษณะโปรแกรมเชิงโครงสร้าง ช่วงต้นของภาษาได้รับการออกแบบรหัสคําสั่งเพื่อ ควบคุมการทํางานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ประเภท เมนเฟรม และมินิ ต่อมาจึงปรับรูปแบบคําสั่งให้ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์ได้ข้อดี คือ ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการเขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางาน ไมโครคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะไปเขียนรหัสคําสั่งควบคุมคอมพิวเตอร์ขนาดให้ญืในการทํางานจริง ข้อจํากัด คือ โครงสร้างภาษามีส่วนประกอบของบรรทัดคําสั่งงานมาก รูปแบบรหัส คําสั่งมีความยาว จดจําคําสั่งได้ยาก ไม่เหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะสร้างงานโปรแกรม
3) ภาษาปาสคาล (PASCAL) เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง ได้รับการออกแบบ มาเพื่อใช้เขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ แต่ละส่วนของโครงสร้างกําหนดหน้าที่การเขียนรหัสคําสั่งควบคุมงาน ชัดเจน คําสั่งสั้น สื่อความหมายดี จึงจดจําได้งาย ประสิทธิภาพคําสั่งงานมีเลือกใช้งานหลากหลาย รูปแบบ ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ เหมาะสมกับการนําไปใช้ในหลักสูตรการเรียนการสอน ข้อจํากัด คือ ประสิทธิภาพของคําสั่งไม่สามารถใช้ควบคุมการทํางานในลักษณะ ระบบงานแบบฐานข้อมูล หรือแบบเครือขายได้ แต่อาจใช้พื้นฐานความรู้สําหรับภาษาอื่นได้ เช่น ภาษา เดลไฟ (DELPHI) ที่คําสั่งงานคลายภาษาปาสค่าล
4) ภาษาซี เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง เน้นให้คําสั่งมีประสิทธิภาพการคํานวณที่ รวดเร็ว เข้าถึงอุปกรณ์ในระบบรวมกับภาษาแอสแซมบลีได้ ใช้ควบคุมการทํางานไมโครคอมพิวเตอร์
ข้อดี คือ ภาษาได้รับการพัฒนามาอย่างตอเนื่อง การออกแบบรหัสคําสั่งมีมาตรฐาน รวมกัน ถึงแม้จะเป็นภาษาซีตางบริษัทก็ใช้งานส่วนคําสั่งพื้นฐานรวมกันได้ ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ จึงเหมาะสมสําหรับนําไปใช้ในหลักสูตรการเรียนการสอน และนําไปใช้สร้างงานโปรแกรมระบบขนาด ใหญ่ได้ ข้อจํากัด คือ อยู่ในส่วนของรุนภาษาซีมากกว่า เช่น เทอรโบซีจะไม่สามารถนําไป สร้างระบบงานฐานข้อมูลได้ แต่หากต้องการนําไปสร้างงานโปรแกรมแบบฐานข้อมูล ต้องใช้วิชวล ซีพลัสพลัส (Visual C++) เป็นต้น
3. ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator Program) การเขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานระบบด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ใด ๆ ก็ตาม ที่มิใช้ ภาษาเครื่อง ระบบไม่สามารถประมวลผลได้ทันที เพราะการทํางานของระบบเป็นรหัสเลขฐานสอง คือ 0 กับ 1 ดังนั้นผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ ต้องสร้างโปรแกรมสําหรับแปลรหัสคําสั่งให้เป็นรหัส เลขฐานสองด้วย โปรแกรมแปลรหัสคําสั่งภาษาคอมพิวเตอร์มีการทํางาน 3 ลักษณะ คือ
1.)โปรแกรมแปลภาษาแบบแอสแซมเบลอร (Assembler) ใช้แปลรหัสคําสั่งเฉพาะภาษา แอสแซมบลีให้เป็นเลขฐานสอง
2.) โปรแกรมแปลภาษาแบบคอมไพเลอร์ (Compiler) ลักษณะการแปลคือ แปลคําสั่งทั้ง โครงสร้างโปรแกรม แล้วจึงแจงข้อผิดพลาดทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข จากนั้นต้องประมวลผลให้ หากไม่มี ข้อผิดพลาดจะสร้างแฟ้มโปรแกรมให้อัตโนมัติเพื่อเก็บรหัสเครื่องภายหลังเมื่อเรียกใช้โปรแกรมนี้ เครื่อง จะอ่านรหัสจากโปรแกรมที่สร้างไว้นั้น จึงไม่ต้องเริ่มแปลรหัสให้ ข้อดี คือ ทํางานได้รวดเร็ว เพราะไม่ต้องแปลรหัสให้ทุกครั้ง ข้อจํากัด คือ ต้องเขียนโปรแกรมให้ครบทุกส่วนของโครงสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ จึง จะสามารถคอมไพลปละประมวลผลเพื่อแสดงผลได้
3.) โปรแกรมแปลภาษาแบบอินเทอรพรีตเทอร์ (Interpreter) ลักษณะการแปล คือ แปลรหัสทีละคําสั่ง เมื่อพบข้อผิดพรากจะหยุดทํางาน แล้วจึงแจงข้อผิดพลาดให้ทราบ เพื่อแก้ไข จากนั้นประมวลผลให้ จนกว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด แต่ไม่มีการสร้างแฟ้มโปรแกรมให้เพื่อเก็บรหัสคําสั่ง คือ สั่งให้ประมวลผลรหัสคําสั่งเพื่อดูผลการทํางานได้ทันทีที่ต้องการ โดยไม่ ข้อดี ต้องเขียนโปรแกรมถึงบรรทัดสุดทาย ข้อจํากัด คือ หากโปรแกรมมีบรรทัดคําสั่งจํานวนมากจะประมวลผลชา เพราะต้องเริ่ม แปลรหัสคําสั่งให้ที่บรรทัดคําสั่งแรกทุกครั้งที่สั่งให้ประมวลผล
4.) การเลือกใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ การสร้างโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ มีข้อแนะนําในการนําไปใช้เป็นแนวทางพิจารณา เลือกภาษาคอมพิวเตอร์ ดังนี้
1. พิจารณาจุดเด่นประสิทธิภาพของคําสั่งงานของแต่ละภาษา เปรียบเทียบกับลักษณะงาน เช่น สร้างโปรแกรมระบบงานคํานวณทางวิศวกรรมศาสตร์ อาจเลือกใช้ภาษาซี ภาษา ปาสคาล
2. พิจารณาลักษณะการประมวลผล เช่น ระบบงานต้องประมวลผลบนเครือข่ายอาจ เลือกใช้ภาษาวิชวลเบสิก ในรุ่นของโปรแกรมที่มีคําสั่งควบคุมการทํางานได้
3. พิจารณาคุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์และรุนของระบบปฏิบัติการที่ใช้ควบคุม เพื่อเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานรวมกันกับระบบได้
4. ควรเลือกภาษาที่ทีมงานพัฒนาระบบงานโปรแกรมมีความชํานาญอยู่แล้ว เพื่อไม่ต้อง เสียเวลาเริ่มต้นศึกษาเรียนรู้ภาษาให้ หรือหากเป็นภาษาให้ ควรเป็นภาษาที่มี ลักษณะใกล้เคียงกับความรู้เดิม
5. ควรเป็นภาษาที่มีลักษณะเป็นโครงสร้าง มีความยืดหยุ่นสูง เอื้ออํานวยความสะดวกใน การปรับปรุงพัฒนาระบบงานในอนาคต
6. หากระบบงานต้องการความปลอดภัยเรื่องการเข้าถึงข้อมูล ต้องคัดเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเรื่องนี้ด้วย
7. พิจารณางบประมาณ ใช้จัดหาคอมพิวเตอร์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องมาใช้งาน เพื่อป้องกัน ปัญหาทางกฎหมายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะไม่ก่อปัญหาเมื่อขยายพัฒนาระบบงานเพิ่ม มากขึ้นในอนาคต
8. เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมใช้งานทั่วไปเพื่อศึกษารวบรวมข้อมูล และ ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต และมีความเชื่อมั่นว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญให้ คําปรึกษาหากเกิดปัญหาขึ้น